วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรดโฟลิก สารสำคัญสำหรับผู้หญิง

กรดโฟลิก


- ผู้หญิงหลาย ๆ คนที่อาจจะมีความกังวล เกี่ยวกับการกินยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน ๆ ว่าจะมีปัญหาอะไรกับสุขภาพหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่กังวลว่าลูกที่จะเกิดมานั้นร่างกายจะสมบูรณ์ไหม วันนี้ Healthdeena จะมาช่วยไขปัญหา ข้อข้องใจนั้น ๆ ให้กับเพื่อน ๆ ได้ทราบกัน


ประโยชน์ของ "กรดโฟลิก"
  • ลดการเกิดมะเร็งคอมดลูก สำหรับผู้หญิงที่กินยาคุมมาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีความเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งคอมดลูก การได้กรดโฟลิกที่เหมาะสมจะลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้
  • ลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วจะมีความเสีื่ยงสำหรับโรคกระดูกพรุน กรดโฟลิก จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้ และสำหรับผู้หญิงที่มีครรภ์ ควรกินกรดโฟลิกเป็นอย่างยิ่ง เพราะกรดโฟลิกจะช่วยสร้างไขสันหลังให้กับทารกในช่วง 2-3 เดือนแรก
  • บรรเทาโรคโลหิตจาง สำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางควรกิน กรดโฟลิก เพราะจะช่วยบรรเทาอาการของโรคนี้ได้
  • ป้องกันโรคหัวใจ

แหล่งที่มาของ กรดโฟลิก

  • ตับวัว จะมีกรดโฟลิก 290 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ธัญพืชเสริมวิตามิน จะมีกรดโฟลิก 250 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ถั่วแบล็กอาย จะมีกรดโฟลิก 210 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • กะหล่ำดาว จะมีกรดโฟลิก 110 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ถั่วลิสง จะมีกรดโฟลิก 110 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ปวยเล้ง จะมีกรดโฟลิก 90 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • บรอกโคลี จะมีกรดโฟลิก 64 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ผักกาดหอม จะมีกรดโฟลิก 55 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • ถั่วลูกไก่ จะมีกรดโฟลิก54 ไมโครกรัม/100 กรัม
  • อะโวกาโด จะมีกรดโฟลิก 11 ไมโครกรัม/100 กรัม

อาการของคนที่ขาด กรดโฟลิก
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • มีอาการเครียด วิตกกังวล อารมณ์เสีย
  • ผิวหนังอักเสบ ผิวซีด ริมฝีปากแตก
  • ไม่อยากอาหาร


- คราวนี้เพื่อน ๆ ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการกินยาคุมเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือ คุณแม่ที่อยากให้ลูกคลอดออกมาสมบูรณ ก็อย่างให้ร่างกายขา

วิตามิน บี1 กับสมองของเรา

วิตามิน บี1 หรือ ไทอะมิน



-เริ่มต้นเพื่อน ๆ ก็คงจะงงกันว่า วิตามิน บี1 มันไปเกี่ยวข้องอะไรกันกับ สมองของเรา คุณเคยได้ยินไหมว่าถ้ากินข้าวเช้าแล้วจะช่วยให้เรามีความจำดีขึ้น นี้ก็คือประโยชน์ของวิตามิน บี1 อีกอย่างหนึ่ง สำหรับวิตามิน บี1 ร่างกายของเราไม่ได้ต้องการมากมายแต่ต้องการสม่ำเสมอ ถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดหัวบ่อย ๆ หรื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ลองสำรวจดูว่าคุณขาด "วิตามิน บี1" อยู่หรือเปล่า เรามาดูกันว่าวิตามิน บี1 ได้มาจากแหล่งใหนบ้างและมีประโยชน์กับร่างกายอย่างไร


ปรโยชน์ วิตามิน บี1

  • เสริมความจำ อย่างที่ healthdeena ได้พูดไปในตอนแรกแล้วว่าการกินข้าวเช้าช่วยให้เรามีความจำดีขึ้น ก็เพราะ เราต้องการน้ำตาลกลูโคสในเลือด มาร่วมกับวิตามิน บี1 เพื่อผลิตเจ้าสารอะซิทิลคอลีน ที่มีหน้าที่สำคัญในการจำและทำให้เรามีสมาธิด้วย
  • โรคอัลไซเมอร์ เพื่อน ๆ คงจะคุ้นกับชื่อของโรคนี้ คือ "โรคอัลไซเมอร์" ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนชรา จะมีอาการหลงลืม จำเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ มีการศึกษา ค้นคว้าและพบว่าวิตามิน บี1 ช่วยชะลอและป้องกัน การเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

แหล่งที่จะได้มาซึ่ง วิตามิน บี1


ร่างกายของเราต้องการ วิตามิน บี1 เพียงแค่ 3.5 - 9.2 มิลลิกรัม เท่านั้น วิตามิน บี1 ได้มาจากแหล่งใหนบ้างมาดูกันเลย

  • ยีสต์สกัด จะมี วิตามิน บี1 4.25 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ถั่วลันเตา จะมี วิตามิน บี1 0.89 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • สัม จะมี วิตามิน บี1 0.70 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • คอร์แฟลกจะมี วิตามิน บี1 0.65 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • เนื้อหมูติดซี่โครง จะมี วิตามิน บี1 0.48 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • พาสต้าข้าวซ้อมมือ จะมี วิตามิน บี1 0.43 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ขนมปังโฮลมีล จะมี วิตามิน บี1 0.37 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไข่แดง จะมี วิตามิน บี1 0.30 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ขนมปังขาวจะมี วิตามิน บี1 0.21 มิลลิกรัม/100 กรัม

อาการของคนขาด วิตามิน บี1


คนที่ขาด วิตามิน บี1 จะัเป็นโรค เบอริเบอริ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็หาได้ยาก และอีกโรคหนึ่งที่จะขาดวิตามินนี้ก็คือ โรคพิษสุราเรื้อรัง ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่า ขาดวิตามิน บี1 อยู่หรือเปล่าเราจะมาดูอาการของมันกัน
  1. ทำงาน หรือออกกำลังกาย ก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย
  2. มีอาการซึมเศร้า ไม่ร่าเริง
  3. ความจำจะไม่ค่อยดี ทำอะไรไปเมื่ีอสักครู่ก็ลืมแล้ว
  4. ปวดหัวบ่อย ๆ
  5. คลื่นไส้ อาเจียน
  6. มือ เท้า เป็นเหน็บ

- การได้รับสารอาหารที่มากเกินไปก็ทำให้ร่างกายเราไม่แข็งแรง และบ้างทีก็มีโรคภัยมาเบียดเบียนอีกด้วย healthdeena ขอแนะนำให้เพื่อน ๆ กินวิตามิน บี1 ไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน ถ้าเรากินเกินนี้ก็จะทำให้ชีพจรเราเต้นเร็วผิดปกติ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ปวดหัว และตามมาด้วยสุขภาพอ่อนแอนะ

                       ประโยชน์ของแครอท


อาหารเพื่อสุขภาพวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับ "ประโยชน์ของแครอท"  ประโยชน์ของแครอทมีหลายอย่าง ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงามและไม่อยากแก่ก่อนวัย แครอทสามารถช่วยคุณได้ แต่ทานแครอทเท่าไรหล่ะถึงจะพาต่อความต้องการของร่างกาย  อาหารเพื่อสุขภาพก็มีคำตอบมาให้เพื่อน ๆ ตามอาหารเพื่อสุขภาพมาเลย


แครอท

  • แครอทเป็นผักหัว มีฤทธิ์เย็น แครอทยังมีวิตามินหลายอย่างเช่น วิตามินซี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และที่สำคัญแครอทมีเบต้าแคโรทีนสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอทันที่ที่เราทานแครอทเข้าไป 


ประโยชน์ของแครอท : สรรพคุณของแครอท

  • สร้างภูมิต้านทาน

วิธีทำ นำแครอตมาใส่เครื่องปั่นแยกกาก และดืมเฉพาะน้ำแครอทเท่านั้น ดื่มวันละ 1 แก้วต่อวัน นอกจาำกช่วยสร้างภูมิต้านทานแล้วยังช่วยให้นอนหลับสนิทอีกด้วย


  • บำรุงสายตา

วิธีทำ  เอาแครอตมาขูดให้เป็นเส้น ๆ แล้วนำไปผัดกับไข่ ทานเป็นประจำ จะช่วยบำรุงสายตาและบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี


  • ลดคอเสเตอรอล ต้านมะเร็ง

วิธีทำ ทานแครอตสดวันละ 2  หัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดคอเสเตอรอลประมาณ 20 % และสามารถช่วยป้้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้


- ประโยชน์ของแครอท นอกจากที่อาหารเพื่อสุขภาพได้บอกไปแล้วนั้น ในแครอทก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความชราได้แถมยังทำให้ผิวหนังของเราเปล่งปลั่งเหมือนหนุ่ม ๆ สาว ๆ อีกด้วย

ส่วนประกอบที่สำคัญของไข่
bullet02_orange_2.gif.เปลือกไข่ (egg shell) อาจมีสีน้ำตาลหรือสีขาวขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์แม่ไก่ สีไข่ไม่มีผลใดๆต่อคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด เช่น ไข่ไก่พันธุ์เล็กฮอร์นมีเปลือกสีขาว ส่วนไข่ไก่พันธุ์โรดไอร์แลนด์มีเปลือกสีน้ำตาลในเปลือกไข่จะมีคอลลาเจน(collagen) สานเป็นตัวตาข่าย และมีหินปูน(แคลเซียมคาบอเนต) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เปลือกแข็ง เปลือกไข่จะมีรูขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหมด อาการศและความชื้นสามารถแรกผ่านรูเล็กๆที่อยู่ในไข่ได้ อากาศจำเป็นสำหรับตัวอ่อนหายใจ เมื่อไข่ออกมาใหม่ๆ จะมีเมือกเคลือบที่เปลือกไข่ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศและน้ำผ่านเข้าไปได้ เปลือกไข่ในช่วงแรกๆจึงมีลักษณะเป็นนวล เมื่อเก็บไว้นานๆ เมือกเหล่านี้จะแห้งไป เปลือกไข่จึงมีอากาศถ่ายเทเข้าออกได้มากขึ้น ทำให้ไข่เสียเร็ว
bullet02_orange_3.gifเยื่อหุ้มไข่ มีอยู่ด้วยกัน2ชั้น ชั้นนอกที่ติดเปลือกมีชื่อเรียกว่า shell membrane ชั้นในที่ติดกับไข่ขาวเรียกว่า egg membrane เยื่อชั้นนอกและชั้นในจะชิดกันตลอด แต่แยกกันที่ด้านป้านของไข่ซึ่งมีโพรงอากาศ
bullet02_orange_4.gifโพรงอากาศ (air cell) เป็นช่องว่างที่อยู่บริเวณด้านป้านของไข่ อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและเยื่อหุ้มชั้นใน เมื่อไข่ออกมาใหม่ๆ อุณหภูมิของไข่ยังสูง จึงไม่มีช่องว่าง ต่อเมื่อเมื่อไข่เย็นลง ของเหลวภายในไช่หดตัว ทำให้เกิดเป็นโพรงอากาศขึ้น และถ้าหากมีน้ำระเหยออกไปมาก ก็จะทำให้โพรงอากาศใหญ่ขึ้นด้วย
bullet02_orange_5.gifไข่ขาว (albumen) มีทั้งหมด3ชั้น ไข่ขาวชั้นนอกสุดจะค่อนข้างเหลว อยู่ติดกับเยื่อหุ้มไข่ ถัดมาเป็นไข่ขาวข้น มีปริมาณมากกว่าครึ่งของไข่ขาวทั้งหมด ส่วนชั้นในสุดเป็นไข่ขาวอย่างเหลว ในไข่ขาวประกอบด้วยน้ำและโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ มีไขมันบ้างเล็กน้อย ลักษณะที่เป็นเมือกของไข่ขาวข้น เกิดจากคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่
bullet02_orange_6.gifเยื่อหุ้มไข่แดง (Vitelline membrane) มีประโยชน์คือ ช่วยหุ้มไข่แดงเอาไว้โดยรอบ
bullet02_orange_7.gifไข่แดง (Yolk) ไข่แดงจะอยู่กลางฟองโดยการยืดของเยื่อ ที่เป็นเกลียวแข็ง อยู่ด้านหัวและท้ายของไข่แดง และยื่นเข้าไปในไข่ขาว
ไข่แดงมีความเข้มข้นมากกว่าไข่ขาว เพราะมีน้ำน้อยกว่า มีไขมันและโปรตีนมากกว่า ในไข่แดงบางฟองอาจมีจุดเลือด มีสาเหตุมาจากเส้นเลือดฝอยในรังไข่ของแม่ไก่แตก ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้จุดเลือดดังกล่าวกลายเป็นชิ้นเนื้อเล็กๆ ไม่ได้ให้โทษแต่อย่างใด
        symble_at_gray_2.gifสิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อเก็บไข่ไว้นาน
bullet02_red_1.gifโพรงอากาศในไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น มองเห็นได้ชัดโดยใช้วิธีส่องไข่ หากเก็บไข่ไว้ในที่ที่มีความชื้นสูงจะทำให้โพรงอากาศขยายได้ช้าลง การเปลี่ยนแปลงชนิดนี้ทำให้ไข่สูญเสียน้ำไปบ้างเลฏน้อยเท่านั้น ผู้บริโภคไม่ค่อยได้สนใจการเปลี่ยนแปลงทางด้านนี้มากนัก
bullet02_red_2.gifไข่แดงใหญ่ขึ้น น้ำในไข่ขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปในไข่แดงด้วยแรงดันออสโมซิส เนื่องจากความเข้มข้นของไข่แดงมากกว่าไข่ขาว ทำให้ไข่แดงมีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่อยู่ตรงกลางของฟองไข่ มีความหนืดน้อยลง เยื่อหุ้มไข่แดงยืดออกจนขาดง่าย ทำให้ไข่มักแตกเสียก่อน แยกไข่แดงออกจากไข่ขาวยาก ในบางครั้งไข่แดงก็อาจเอียงไปติดเปลือกด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเก็บไข่ไว้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในข้อนี้จะเกอดขึ้นอย่างรวดเร็ว
bullet02_red_3.gifไข่ขาวข้นเหลว ในขณะที่เก็บไข่ ไข่ขาวข้นจะกลายเป็นไข่ขาวเหลว เพราะมีการย่อยโปรตีนในไข่ขาวเอง ปริมาณไข่ขาวข้นในไข่ขึ้นอยู่กับพันธุ์ไก่ด้วย ในปัจจบันจึงมีการผสมพันธุ์ไก่ เพื่อให้ได้ไข่ที่มีปริมาณไข่ขาวข้นสูง
bullet02_red_4.gifไข่เป็นด่างมากขึ้น ระหว่างที่เก็บไข่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไข่จะระเหยออก ทำให้ไข่มีฤทธิ์เป็นด่างมากขึ้น ก๊าซนี้เกิดจากขบวนการเมตะโบลิซึมของไข่ และละลายไข่ในรูปของกรดคาร์บอนิก และเกลือไบคาร์บอเนต ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหยออกไปจนในไข่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับอากาศโดยรอบ
bullet02_red_5.gifรสและกลิ่นเปลี่ยนแปลง ไข่ใหม่จะให้รสอร่อยมากกว่าไข่เก่า ถ้าเก็บไข่ไว้ในที่ที่มีอากศเหม็น ไข่ก็อาจดูดเอากลิ่นสิ่งที่เหม็นที่อยู่รอบๆเข้าไปที่รูของเปลือก
bullet02_red_6.gifเชื้อจุลินทรีย์เพิ่มมากขึ้น จุลินทรีย์สามารถเข้าไปในไข่ได้โดยเข้าไปในที่รูพรุนของไข่ไก่ ดังนั้น เราควรเก็บไข่ไว้ในที่ทีสะอาด จุลินทรีย์บางชนิดทำให้ไข่เสียได้ และบางอย่างก็ทำให้เกิดโรคต่างๆ
bullet02_red_7.gifไข่จะฟักเป็นลูกไก่ ไม่ควรเก็บไข่ที่มีเชื้อตัวผู้ผสมไว้ที่อากาศร้อน เพราะจะทำให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตในอุตสาหกรรมไข่ไม่นิยมเก็บไข่ประเภทนี้
       symble_at_blue_4.gif การเก็บไข่
เราไม่สามารถเก็บไข่เพื่อให้ไข่มีคุณค่าที่ดีกว่าเดิมได้ แต่สามารถเก็บไข่เพื่อให้คงไว้ซึ่งคุณภาพเดิมของไข่เท่าที่ทำได้ การเก็บไข่ได้ให้ถูกวิธีจะช่วยให้มีไข่บริโภคในราคาที่ใกล้เคียงกันตลอดทั้งปี
การเก็บไข่ระหว่างรอขาย ต้องเก็บไว้ในห้องเย็นที่มีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิไข่จะแข็งตัวที่อุณหภูมิ-2องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงต้องปรับให้ห้องเย็นมีอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิเยือกแข็งเล็กน้อยเพือไม่ให้ไข่เย็นจัดจนแข็ง และต้องป้องกันการสูญเสียน้ำโดยการปรับความชื้นของห้องให้สูง ให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง-1.7 ถึง -0.6องศาเซลเซียส วิธีนี้อาจจะมีไข่เสียบ้าง แต่ก็เป็นไปอย่างช้าๆ
เพื่อยืดระยะเวลาการเก็บไข่ ก่อนเก็บต้องจุ่มไข่ลงในน้ำมันแร่ซึ่งไม่มีกลิ่นและสีใดๆ ให้น้ำมันเคลือบเป็นผิวบางๆที่เปลือกไข่ จะช่วยป้องกันให้น้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกจากไข่  หรืออาจจะจุ่มไข่ลงในน้ำหรือน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 15 นาที ความร้อนขณะนี้ทำให้ไข่ขาวข้นคงตัว ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่มีในไข่ และทำลายตัวอ่อนในไข่ที่มีเชื้อตัวผู้ แต่วิธีนี้จำทำให้ไข่แดงติดเปลือกไข่ และต้องใช้เวลาในการตีไข่ขาวให้ฟูนานขึ้น
bullet02_skyblue_2.gifการแช่แข็งไข่ มักจะใช้วิธีนี้กับไข่ที่ เปลือกร้าว เปลือกสกปรก รูปร่างไม่ดี ฟองเล็ก อาจทำไข่แช่แข็งทั้งฟอง หรือเฉพาะไข่ขาวหรือไข่แดงเท่านั้น ไข่ขาวแช่แข็งได้โดยไม่ต้องเติมอะไร ส่วยไข่แดงก่อนแช่แข็งควรเติมน้ำตาล เกลือ หรือกลีเซอรีน ลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ไข่แดงละลายได้ดีโดยไม่เป็นก้อนหรือเป็นยางเหนียว ไข่แช่แข็งอาจมีเชื้อซาลโมเนลลาเหลืออยู่ ต้องระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด ถ้าหากเปลือกไข่สกปรกก็ควรล้างก่อนต่อยไข่ออกจากเปลือก ตรวจลักษณะสี กลิ่น ก่อนตีไข่รวมกัน สำหรับความปลอดภัย ควรฆ่าเชื้อซาลโมเนลลาที่อาจเจือปนในไข่โดยให้ผ่านความร้อนที่ 60 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 3 นาที
bullet02_skyblue_3.gif การทำไข่ผง ขั้นแรกให้ตีไข่เข้าด้วยกัน นำไปผ่านความร้อนฆ่าเชื้อ ต่อมาใช้แรงดันให้ไข่ผ่านรูเล็กๆพ่นเป็นฝอยลงไปในถังใหญ่ซึ่งมีลมร้อนประมาณ 121 ถึง 149 องศาเซลเซียส น้ำในไข่จะระเหยไปทันที ไข่จะแห้งเป็นผงตกลงสู่พื้นล่างของถัง ในไข่ผงอาจมีแบคทีเรียซาลโมเนลลาเหลืออยู่ ก่อนทางจึงควรทำให้สุกก่อน
bullet02_skyblue_4.gifการเก็บไข่ไว้ในบ้าน มีหลักการดังนี้
1. เลือกเก็บเฉพาะไข่ที่ออกใหม่ เปลือกสะอาด เพราะถ้าเปลือกสกปรก อาจทำให้จุลินทรีย์เข้าไปในไข่ได้
2. ไม่ล้างไข่ก่อนถึงเวลาทำอาหาร เพราะจะเป็นการล้างเอาเมือกที่เคลือบรอบเปลือกไข่ออกด้วย ทำให้น้ำระเหยออกจากไข่มากขึ้น
3. เก็บไว้ในอุณหภูมิต่ำ เก็บไว้ในตู้เย็น
4. เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด เก็บในที่สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น
5. ขณะที่วางไข่บนที่เก็บ ควรวางให้ด้านป้านขึ้น ถ้าหากเอาด้านแหลมขึ้น จะทำให้น้ำหนักของไข่ดันให้โพรงอากาศลอยตัวขึ้นด้านบน ทำให้เยื่อหุ้มไข่ทั้งสองแยกออกจากกัน ไข่แดงซึ่งเบากว่าจะลอยตัวขึ้นข้างบนเช่นเดียวกัน และทำให้ไข่แดงติดเปลือกได้ง่ายขึ้น
แอ๊ปเปิ้ล APPLE

เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล

คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ
เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ

แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย
กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป

แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก
มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล โดยแบ่งตามสีดังนี้
1. แอ๊ปเปิ้ลแดง มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมี
อิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2. แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
3. แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกิน
แอ๊ปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว
แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

4. แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

   1. สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
 แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

   2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

   3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
    4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
   4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

   5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

   6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

   7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

   8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

   9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

   10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

   11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

   12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

   13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

   14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

   15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

   16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

   17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

   18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ